SCBAMลั่นลูกค้า1ล้านบัญชีใน2ปี ชูเทคโนโลยีช่วยปั้นผลตอบแทนยั่งยืน

บลจ.ไทยพาณิชย์ลั่นยึดเบอร์1ต่ออีก10ปี เน้นความยั่งยืนขยายฐานลูกค้าแตะ1ล้านบัญชีภายใน2ปี คาดปีนี้AUMโต3-5% จาก1.62ล้านล้านบาท โชว์ช่องทางดิจิทัลมาแรงยอดใช้งานแตะ4หมื่นบัญชี แอคทีฟทุกเดือนกว่า1หมื่นราย

นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBAM เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าในปีนี้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารของบริษัทจะเติบโตได้3-5%จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.62ล้านล้านบาท และตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าให้ถึง 1 ล้านบัญชีภายใน2ปีจากเดิมในปี2565 บริษัทมีลูกค้าอยู่ประมาณ 7 แสนบัญชีอย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังอาจเป็นไปได้เข่นกันว่าอาจเติบมากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ทั้งในส่วนของเม็ดเงินลงทุนใหม่และการปรับตัวดีขึ้นของมูลค่าหน่วยลงทุนจากสถานการณ์การลงทุนที่คลี่คลายลงจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปัญหาของสถาบันการเงินในต่างประเทศ

เทคโนโลยี

“ในอีก10ปีข้างหน้าเราจะเป็นที่1อย่างยั่งยืน ทั่งในด้านความเชื่อมั่น โปรดักส์ และผลตอบแทนที่ยั่งยืนและเรามีเป้าหมายผลักดันความยั่งยืนให้เข้าไปเป็นส่วนหลักในทุกกิจกรรม เพื่อสร้างการเติบโตและให้เป็นที่เชื่อมั่นของกลุ่มพันธมิตรในระดับภูมิภาค ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือหลักในการผลักดัน เช่น ต่อยอดการใช้ AI & Machine Learning มาพัฒนาผลิตภัณฑ์และจัดการบริหารกองทุน และการนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างประสบการณ์ที่ดีด้านการลงทุนและการบริการให้กับลูกค้า”

ส่วนการแข่งขันในธุรกิจกองทุนรวมมองว่าบริษัทยังมีศักยภาพในการแข่งขันและมีความเชื่อมั่นในทีมบริหารจัดถึงแม้จะมีบลจ.ต่างประเทศเริ่มเข้ามารุกธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมามีต่างชาติให้ความสนใจ บลจ.ไทยพาณิชย์เช่นกัน แต่ทั่งหมดยังอยู่ในการตัดสินใจของผู้ถือหุ้นใหญ่และไม่ได้ปิดโอกาสที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้บริษัทก็เคยมีความสนใจที่จะขยายการลงทุนไปในต่างประเทศเช่นกัน และเคยดูความเป็นไปได้ทั้งที่ ฮ่องกง และไต้หวัน

นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการลงทุน เปิดเผยกลยุทธ์ด้านการลงทุนว่า บริษัทจะผลักดันและพัฒนารูปแบบการลงทุนผ่านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง มุ่งมั่นที่จะบริหารกองทุนด้วยวิธี Quantamental Investing ซึ่งคือ Quantitative Analysis (การคำนวนเชิงปริมาณ) รวมกับ Fundamental Analysis (การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน) โดยการใช้ Big Data และ Machine Learning มาผสมผสานกับ Human Expertise เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

ทั้งนี้ บริษัทเริ่มออกกองทุนที่บริหารโดย Machine Learning มาแล้ว 5 ปี เริ่มต้นจากการลงทุนในตลาดไทย และขยายการลงทุนตรงไปในหุ้นประเทศจีน หุ้นประเทศอเมริกา และ ETF ในอเมริกา โดยจำนวนนักลงทุนที่สนใจในการลงทุนโดยวิธี Machine Learning มีเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

ด้าน นายอาชวิณ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการตลาดและช่องทางการขาย กล่าวเพิ่มว่า ปัจจุบันข่องทางดิจิทัลของบริษัทมีการเติบโตได้เป็นอย่างดีและมีนักลงทุนผ่านช่องทางนี้ประมาณ3-4หมื่นราย โดยมีบัญชีที่มีความเคลื่อนไหวสม่ำเสมออยู่ประมาณ1หมื่นรายต่อเดือนโดยล่าสุดบริษัทมีหน่วยลงทุนประเภท e-class และ SSF e-class จำนวน 80 กองทุน คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สิน (AUM) มากกว่า 2,000 ล้านบาท

ติดตามข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นี่ : ‘สหรัฐฯ’ หวั่น ‘จีน’ แซงหน้าด้านเทคโนโลยี

‘สหรัฐฯ’ หวั่น ‘จีน’ แซงหน้าด้านเทคโนโลยี

เบียดแซงสหรัฐฯ ในด้านเทคโนโลยีสำคัญหลายด้าน

ช่วงกลางเดือนกันยายน ในการประชุมของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงผู้บริหารจากภาคเอกชน ณ กรุงวอชิงตัน ในประเด็นความกังวลที่ประเทศสหรัฐฯ เริ่มที่จะตามหลังจีนในด้านพัฒนาเทคโนโลยีหลักหลายอย่าง สะท้อนถึงอนาคตที่ไม่สดใสในวงการไอทีของสหรัฐฯ และอาจเปิดโอกาสให้ประเทศอื่น ๆ ก้าวขึ้นมาท้าทายอเมริกาในด้านพัฒนาการสื่อสารสมัยใหม่ และเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นโดยโครงการ Special Competitive Studies Project หรือ SCSP ซึ่งเป็นความพยายามของ เอริก ชมิดต์ อดีต CEO ของบริษัท Google ที่มีเป้าหมาย “เพื่อทำให้อเมริกายังคงเป็นผู้นำด้านการแข่งขันเชิงเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ไปจนถึงปี 2030 อันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญต่อการกำหนดอนาคตประเทศในอุตสาหกรรมนี้”

ผู้เข้าร่วมการประชุมนี้ต่างแสดงความวิตก เพราะเห็นว่าศักยภาพในการแข่งขันของสหรัฐฯ กำลังถูกคุกคาม

อนาคตไม่สดใส
ไม่กี่วันก่อนหน้าการประชุม ทางโครงการ SCSP ได้ออกรายงานประเมินสถานการณ์ หากประเทศจีนกลายเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก ส่วนหนึ่งของรายงานระบุว่า “ต้องจินตนาการถึงโลกที่ถูกควบคุมโดยรัฐที่เป็นเผด็จการ ทั้งในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล การควบคุมการผลิตเทคโนโลยีที่สำคัญ รวมถึงการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นประโยชน์ ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนแปลงสังคม เศรษฐกิจและการทหาร อย่างเช่น เทคโนโลยีชีวภาพและเทคโนโลยีพลังงานใหม่”

ในรายงาน ยังคาดการณ์ถึงอนาคตของประเทศจีน ที่จะสามารถทำเงินได้มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ และช่วยยกระดับการปกครองระบอบเผด็จการให้เหนือกว่าประชาธิปไตย

นอกจากนี้ยังประเมินความน่ากลัวของสถานการณ์ ที่ประเทศจีนส่งเสริมแนวคิดการใช้งานอินเทอร์เน็ต “แบบควบคุมเบ็ดเสร็จจากศูนย์กลาง” (sovereign internet) ซึ่งแต่ละประเทศจะจำกัดการเข้าถึงข้อมูลในอินเตอร์เน็ตของประชาชน ซึ่งจีนอาจจะเป็นผู้ที่พัฒนาและควบคุมเทคโนโลยีหลัก สำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

อีกทั้ง ในรายงานยังชี้ว่า ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว กองทัพสหรัฐฯ อาจจะสูญเสียความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี ให้แก่จีนและประเทศคู่แข่งอื่น ๆ และจีนอาจที่จะตัดขาดการจัดส่ง “ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนสำคัญสำหรับการผลิตด้านเทคโนโลยี”

ไม่มีอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในการประชุมสุดยอดดังกล่าว เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ แสดงความเห็นว่าสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ ในการก้าวตามให้ทันการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ของประเทศจีน

ซัลลิแวนกล่าวว่า “ไม่มีอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในการรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันระดับโลก และดำรงความแข็งแกร่งของสหรัฐฯ การที่อเมริกาจะเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี จำเป็นที่จะต้อง เริ่มใหม่ ฟื้นฟู และจัดการดูแล” ซัลลิแวนเสริมว่า “เรากำลังเผชิญกับคู่แข่งที่มุ่งมั่นที่จะแซงหน้าสหรัฐฯ ในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี โดยพร้อมที่จะทุ่มทรัพยากรในระดับที่แทบจะไร้ขีดจำกัดเพื่อการนี้”

ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงฯ ยังได้กล่าวถึงฝ่ายบริหารภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ตระหนักถึงภัยคุกคามและกำลังดำเนินการเพื่อรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยซัลลิแวนได้พูดถึงกฏหมาย “CHIPS” ที่ให้การสนับสนุนมากกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อใช้ในการจัดตั้งโรงงานผลิตไมโครชิปขั้นสูงในสหรัฐฯ

ซัลลิแวนเผยว่า “เรากำลังลงทุนในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ เพื่อให้สหรัฐฯ กลับมาสู่เส้นทางของการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต เราเพิ่มความพยายามเป็นทวีคูณในการดึงดูดคนที่มีความสามารถในด้านเทคโนโลยีชั้นนำของโลก อีกทั้งยังได้ปรับเครื่องมือเทคโนโลยีด้านการป้องกันให้ตรงกับการเปลี่ยนแปลงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ ที่สำคัญที่สุดได้ดำเนินการทั้งหมดนี้ในลักษณะที่ครอบคลุม ด้วยสรรพกำลังที่มหาศาล และสอดคล้องกับตัวตนของเรา”

พลโท เอช. อาร์. แมคมาสเตอร์ อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ในสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า “การดำเนินการที่มีอยู่ ยังรวดเร็วไม่มากพอ เราตามหลังอยู่มาก เนื่องจากการประเมินที่ผิดพลาด ในช่วงหลังยุคสงครามเย็น” อีกทั้งเขายังเรียกร้องให้เพิ่มความพยายามในการสกัดกั้นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีน ผ่านการควบคุมในด้านการส่งออก

ทางด้าน เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน วิจารณ์ความพยายามของสหรัฐฯ ในการขัดขวางความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีนหลายต่อหลายครั้ง โดยชี้ว่า “สิ่งที่สหรัฐฯ กำลังทำอยู่คือการใช้ข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยี เพื่อกีดกันและกดทับการพัฒนาของตลาดเกิดใหม่ รวมถึงประเทศกำลังพัฒนา สหรัฐฯ คาดหวังที่จะให้จีนและประเทศกำลังพัฒนาต่าง ๆ อยู่ในระดับล่างของห่วงโซ่อุตสาหกรรมตลอดไป สิ่งนี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อความก้าวหน้า”

หนึ่งในตัวอย่างที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงในงานนี้ คือการพัฒนาเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตไร้สาย 5G ที่ประเทศในโลกตะวันตกรวมถึงสหรัฐฯ ตามหลังประเทศจีน โดยทางการจีนได้ให้การสนับสนุนมากเป็นพิเศษต่อบริษัท Huawei จนทำให้กลายเป็นบริษัทระดับโลกที่โดดเด่นในด้านการจัดหาอุปกรณ์เครือข่าย 5G

ด้วยความกังวลว่า อุปกรณ์ที่ผลิตในจีนจะทำหน้าที่เป็นแกนหลักของเทคโนโลยีการสื่อสาร ซึ่งเสี่ยงต่อความปลอดภัย และอาจก่อให้เกิดการจารกรรมได้ สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตร ได้ต่อต้านการติดตั้งอุปกรณ์ของ บริษัท Huawei ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการเปิดตัวบริการไร้สาย 5G

ชมิดต์ อดีต CEO ของบริษัท Google แสดงความเห็นว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นกับกรณีของ 5G ไม่ควรเกิดขึ้นซ้ำอีก เราไม่ต้องการทำงานภายใต้เทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ต้องใช้งานเป็นประจำทุกวัน และถูกควบคุมโดยระบบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย อีกทั้งยังเป็นระบบปิด”

ชมิดต์ ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะก้าวนำประเทศจีนในด้านเทคโนโลยี โดยเขาคาดว่าจีนจะเพิ่มการแข่งขันมากขึ้น ในด้านปัญญาประดิษฐ์ คอมพิวเตอร์ควอนตัม เทคโนโลยีชีวภาพ และด้านอื่น ๆ

จอน ฮันต์สแมน อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศจีน และปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองประธานบริษัท Ford Motor กล่าวว่า คนอเมริกันมักที่จะไม่ทราบว่าประเทศจีนนำหน้าสหรัฐฯ ในด้านเทคโนโลยีไปไกล เพียงใด ตัวอย่างเช่น จีนนำหน้าสหรัฐฯ ในด้านการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าไปแล้วอย่างน้อย 5 ปี

ฮันต์สแมน เชื่อว่าสหรัฐฯ ต้องสร้างสมดุลในการไล่ตามจีนและนำหน้าตามแต่สถานการณ์ เขาเน้นว่าต้องรักษาสัมพันธภาพกับประเทศจีน โดยย้ำว่าการสร้างความแตกแยก จะทำให้เกิดความบาดหมาง ความเข้าใจผิด และความไร้เสถียรภาพด้านความมั่นคงไปทั่วโลก